ธรณีประวัติ
(Mistorical geology)
ข้อมูลทางธรณีวิทยาที่สามารถอธิบายความเป็นมาของพื้นที่ในอดีตได้แก่
อายุทางธรณีวิทยา ซากดึกดำบรรพ์
โครงสร้างและการลำดับชั้นหิน เป็นต้น
3.1 อายุทางธรณีวิทยา
โดยทั่วไปอายุทางธรณีวิทยาแบ่งเป็น
2 แบบ คือ อายุเทียบสัมพันธ์ และอายุสัมบูรณ์ ซึ่งมีวิธีศึกษาแตกต่างกัน
1. อายุเทียบสัมพันธ์ (relative
age) เป็นอายุหินเปรียบเทียบซึ่งบอกได้ว่าหินชุดใดมีอายุมากหรืออายุน้อยกว่ากัน อายุเทียบสัมพันธ์หาได้โดยอาศัยข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ที่ทราบอายุ
ลักษณะการลำดับชั้นของหินชนิดต่างๆ และลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาของหิน
แล้วนำมาเทียบสัมพันธ์กับช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า ธรณีกาล (geologic time) ก็จะสามารถบอกอายุของหินที่เราศึกษาได้ว่าเป็นหินยุคไหนหรือมีช่วงอายุเป็นเท่าใด
2. อายุสัมบูรณ์ (absolute
age) เป็นอายุของหินหรือซากดึกดำบรรพ์ที่สามารถบอกเป็นจำนวนปีที่ค่อนข้างแน่นอน
การหาอายุสัมบูรณ์ใช้วิธีคำนวณจากครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยู่ในหิน
หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ต้องการศึกษา ธาตุกัมมันตรังสีที่นิยมนำมาหาอายุสัมบูรณ์
ได้แก่ ธาตุคาร์บอน - 14 ธาตุโพแทสเซียม – 40 ธาตุเรเดียม – 226 และธาตุยูเรเนียม – 238 เป็นต้น
การใช้วิธีคำนวณจากครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสีมักจะใช้หาอายุของหินอัคนีและหินแปร
3.2 ซากดึกดำบรรพ์ (Fossils)
ซากดึกดำบรรพ์ (Fossils) คือ ซากของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
เมื่อตายลงซากก็ถูกทับถมและฝังตัวอยู่ในชั้นหินตะกอน
บางครั้งจะพบซากดึกดำบรรพ์เพียงอวัยวะบางส่วน
แต่มีซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์บางชนิดที่มีอวัยวะครบถ้วน
ซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้เป็นที่สนใจแก่นักชีววิทยา
นอกจากนี้นักธรณีวิทยาและผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับธรรมชาติวิทยาก็ให้ความสนใจมาก
โดยมันจะให้ประโยชน์ในการศึกษาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างเช่น สภาพของดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อม
นอกจากนี้มันยังช่วยในการศึกษาการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและสภาพภูมิประเทศ
สำหรับนักธรณีวิทยาพวกซากดึกดำบรรพ์จะบอกให้ทราบถึงอายุของหินและสภาวะแวดล้อมในอดีตว่าเป็นบนบกหรือในทะเล
เป็นต้น และทำให้สามารถหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆได้
โดยสามารถบอกช่วงอายุของหินชนิดอื่นที่เกิดอยู่ร่วมกับหินตะกอนเหล่านั้นด้วย
การจะใช้ซากดึกดำบรรพ์เพียงอย่างเดียวเพื่อบอกถึงอายุและสภาพแวดล้อมนั้น
บางครั้งก็อาจจะผิดพลาดได้
ยกตัวอย่างเช่น สัตว์น้ำจืดเมื่อตายลงซากของมันอาจจะถูกพัดพาไปทับถมอยู่ในส่วนที่เป็นทะเล
หรือซากดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่ในหินชนิดหนึ่ง
ซึ่งเมื่อโผล่พ้นผิวโลกขึ้นมาแล้วถูกขบวนการสลายตัวทั้งทางกายภาพ
และทางเคมีจนหินผุพังลง ส่วนซากดึกดำบรรพ์นั้นสามารถทนทานต่อการสลายตัว
จึงเหลืออยู่และไปทับถมอยู่ในตะกอนใหม่ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจผิดได้
ซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (index
fossils) เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีความสำคัญมากในการกำหนดอายุของหิน
สามารถบอกอายุได้แน่นอน
เนื่องจากเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีวิวัฒนาการทางโครงสร้างและรูปร่างอย่างรวดเร็ว
มีความแตกต่างในแต่ละช่วงอายุอย่างเห็นเด่นชัด
และปรากฏให้เห็นเพียงช่วงอายุหนึ่งแล้วก็สูญพันธุ์ไป ได้แต่ ไตรโลไบท์ เป็นหอยสองฝา
แกรพโตไลท์ (Graptolites) เป็นพวกปะการัง และฟิวซิลินิด
(fulisinid)
โดยทั่วไปพืชและสัตว์จะมีสภาพเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีโครงร่างหรือภาพที่สมบูรณ์ได้นั้นจะขึ้นอยู่กับ
1. ต้องมีโครงร่างที่แข็ง เพราะสารละลายของแร่ธาตุต่างๆ
ที่อยู่ภาพในได้แก่ ธาตุแคลไซต์ โดโลไมต์ ซิลิกาและสารประกอบเหล็กบางชนิด
เช่น ฮีมาไทต์ แร่ธาตุและสารประกอบต่างๆนี้จะช่วยทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นทนทานต่อการสึกกร่อนและผุพัง
เมื่อกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ก็จะคงสภาพเกือบเหมือนเดิม
2. ต้องถูกฝังกลบอย่างรวดเร็ว
เพราะการฝังกลบอย่างรวดเร็วจะทำให้ซากสิ่งมีชีวิตไม่ถูกความร้อน กระแสน้ำ
และธารน้ำแข็งที่จะทำให้เกิดการสึกกร่อนและผุพังไป จึงยังคงสภาพเดิมได้
วัสดุที่ใช้ในการฝังกลบซากสิ่งมีชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับ
1) สภาพแวดล้อม
2) การดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ
ซากดึกดำบรรพ์ที่เกิดในน้ำทะเลแล้วฝังตัวอยู่ในหินปูน
หินดินดานจะเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่คงสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์
ประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ทั้งที่เป็นสัตว์และพืชหลายชนิดในชั้นหินตามภูมิภาพต่างๆ
เช่น พบไดโนเสาร์ ชื่อว่า “ภูเวียงโกซอรัส สิรินทรเน” เป็นไดโนเสาร์ประเภทเดินสี่เท้า กินพืชเป็นอาหาร คอและหางยาว
ต่อมาพบไดโนเสาร์อีกหลายชนิดที่ภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
และที่จังหวัดชัยภูมิ สกลนคร อุดรธานี อุบลราชธานี และนครราชสีมา
จะเห็นว่าแหล่งซากไดโนเสาร์ของประเทศไทยส่วนมากจะอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในชั้นหินทราย
หินทรายแป้ง ซึ่งเป็นหินอยู่ในยุคไทรแอสชิกตอนปลาย
ซึ่งยุคนี้มีการทับถมของตะกอนหินดินดานสีแดงและหินทรายตามบึงหนามาก
ตามทะเลทรายและหนองน้ำต่างๆ
สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการสูงและพบเป็นปริมาณมากมีโครงกระดูกแข็งแรง
มีเปลือกหุ้มไข่ ไดโนเสาร์เริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกโดยพบเป็นรอยเท้าอยู่มากมายในหินยุคนี้จนถึงยุคครีเทเชียสตอนกลาง
ภาพตัวอย่างฟอสซิล
ซากกระดูกของไดโนเสาร์ซอโรพอด
ฟันของไดโนเสาร์ซอโรพอด พบจากแหล่งขุดค้นวัดสักกะวัน
จ.กาฬสินธุ์
ฟันกรามล่างของไดโนเสาร์ปากนกแก้ว
ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กี
นอกจากการตกตะกอนทับถมของหินจะอธิบายประวัติความเป็นมาของพื้นที่นั้นๆแล้วโครงสร้างธรณีวิทยาที่ปรากฏอยู่ในหิน
เช่น รอยเลื่อน รอยคดโค้ง
ของชั้นหินและรอยชั้นไม่ต่อเนื่องก็สามารถอธิบายประวัติความเป็นมาของพื้นที่นั้นได้อีก
ในกรณีที่ไม่มีชั้นหินและซากดึกดำบรรพ์ประกฎให้เห็นในหิน
นักธรณีวิทยาจำเป็นจะต้องนำโครงสร้างทางธรณีที่เกิดขึ้นในหินทุกชนิดที่เกิดร่วมกันอยู่ร่วมกันมาพิจารณาหาความสัมพันธ์ในอายุของหิน
เช่น มีหินอัคนีแทรกดันตัดผ่านชั้นหินตะกอน
ชั้นหินตะกอนที่ถูกหินอัคนีตัดแทรกจะมีอายุแก่กว่าหินอัคนี เนื่องจากเป็นชั้นหินที่เกิดก่อน
ดังนั้นถ้าผู้เรียนทราบอายุของหินอัคนีก็จะทราบอายุของหินตะกอนได้
ในทำนองกลับกันถ้าเราทราบอายุของหินตะกอนโดยทำการศึกษาจากอายุของซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในหินตะกอนนั้น
ผู้เรียนก็จะสามารถคาดคะเนอายุของหินอัคนีที่แทรกขึ้นมาได้เช่นกัน
นอกจากนี้รอยเลื่อนรูปแบบต่างๆที่ปรากฏอยู่ให้เห็น
รอยเลื่อนนี้จะทำให้ชั้นหินเอียงเทและเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมได้
ซึ่งสามารถที่จะนำมาใช้เป็นหลักฐานในการลำดับชั้นหินเพื่อบอกอายุของหินได้
หรือบอกประวัติความเป็นมาของพื้นที่นั้นๆได้
สรุปการลำดับชั้นหิน
การลำดับชั้นหินเป็นการศึกษาว่าด้วยรูปแบบการวางตัว
การแผ่กระจาย การสืบลำดับอายุ การจำแนกชนิด
และความสัมพันธ์ต่อกันของชั้นหินและหินอย่างอื่นที่สัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดที่มีอยู่ในหินเป็นเกณฑ์กำหนดแบ่ง
จึงเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิด องค์ประกอบ สภาพแวดล้อม อายุประวัติ
และความสัมพันธ์ต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ตลอดจนลักษณะอื่นๆของชั้นหิน
การจัดลำดับชั้นหินจะมีการจัดเรียงลำดับหน่วยของชั้นหินตามตำแหน่งของชั้นหินและลำดับอายุของชั้นหิน
ลำดับชั้นหินที่ได้จากผลรวมของสมบัติทุกชนิดที่มีอยู่ในชั้นหินแต่ละชั้นในพื้นที่ศึกษาชั้นหินแบบฉบับลำดับชั้นหินใดๆ
ที่กำหนดให้เป็นลำดับมาตรฐานเพื่อใช้อ้างอิงในการนิยามลำดับชั้นหิน
โดยมีสมบัติพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์และบอกขอบเขตบนและล่างของลำดับชั้นหินนั้นได้ด้วยชื่อของชั้นหินแบบฉบับหนึ่งๆจะตั้งขึ้นตามชื่อท้องถิ่นของชั้นหินแบบฉบับนั้นๆ
หลักการเบื้องต้นของการเรียงลำดับชั้นหินมี
3 ประการ คือ หลักการวางตัวซ้อนทับ หลักความเป็นเอกภาพ
และหลักการใช้ซากดึกดำบรรพ์ในการหาความสัมพันธ์
การลำดับชั้นหินของประเทศไทยเป็นการจัดลำดับชั้นของหินชั้นและหินแปรให้เป็นหมวดหมู่เดียวกันโดยเริ่มจากชั้นหินอายุแก่ที่สุดไปหาชั้นหินที่อายุอ่อนที่สุด
โดยพิจารณาจากเกณฑ์ตามลักษณะกำเนิดจากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ ชนิดหิน
ลักษณะโครงสร้างและความสัมพันธ์ รวมถึงลักษณะที่หินถูกแปรสภาพไป
ซึ่งปรากฏให้เห็นแตกต่างกันหรือคล้ายคลึงกันในแต่ละท้องถิ่น
ชั้นหินสามารถแบ่งในหมู่หิน หน่วยหิน และหน่วยย่อยลงไปคือชนิดของหิน
ซากดึกดำบรรพ์หรือบรรพชีวินหรือฟอสซิล
เป็นซากร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บรักษาไว้ ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ฟัน กระดูก
หรือเปลือกแต่ในบางสภาวะอาจมีการเก็บรักษาซากสัตว์ทั้งตัวให้คงอยู่ได้เช่น
ช้างแมมมอธที่ไซบีเรีย การเปลี่ยนแปลงจากซากสิ่งมีชีวิตมาเป็นซากดึกดำบรรพ์นั้นเกิดได้ในหลายลักษณะโดยที่เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงส่วนต่างๆของสิ่งมีชีวิตจะค่อยๆถูกเปลี่ยนเป็นช่องว่าง
โพรงหรือรูต่างๆในโครงสร้างอาจมีแร่เข้าไปตกผลึกทำให้แข็งขึ้น
เรียกกระบวนการนี้ว่า การกลายเป็นหิน หรือเนื้อเยื่อผนังเซลล์และส่วนแข็งอื่นๆถูกแทนที่ด้วยแร่โดยกระบวนการแทนที่
เปลือกหอยหรือสิ่งมีชีวิตที่จมอยู่ตามชั้นตะกอนอาจเกิดเป็นรอยประทับอยู่บนชั้นตะกอนซึ่งเรียกลักษณะนี้ว่า รอยพิมพ์ หากว่าช่องว่างนี้มีแร่เข้าไปตกผลึกจะเรียกว่า รูปหล่อ การเพิ่มคาร์บอนโดยธรรมชาติเป็นการเก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์จำพวกใบไม้หรือสัตว์เล็กๆในลักษณะที่มีตะกอนเนื้อละเอียดมาปิดทับซากสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีลักษณะบอบบางจะถูกเก็บรักษาให้กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ในยางไม้
ซากดึกดำบรรพ์ยังอาจเป็นร่องรอยที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
เช่น รอยคืบคลาน รอยเท้า หรืออาจเป็นช่องรู โพรงในชั้นตะกอนในเนื้อไม้หรือในหินที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตและมีแร่ไปตกผลึกในช่องเหล่านี้
มูลสัตว์หรือเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะที่เรียกว่า คอโปรไรต์
เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีประโยชน์ในการบอกถึงนิสัยการกินของสัตว์นั้นๆหรืออาจเป็นก้อนหินที่เรียกว่า
แกสโทรลิต ที่สัตว์กินเข้าไปเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
ซากดึกดำบรรพ์บางชนิดใช้เป็นตัวบอกอายุของหินและนำมาใช้เป็นหลักฐานในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆคือ
ซากดึกดำบรรพ์ดรรชนี ซึ่งเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก
มีการแพร่กระจายอยู่ทั่วไป แต่มีชีวิตอยู่ในช่วงสั้นๆในชั้นหินต่างๆ
อาจพบซากดึกดำบรรพ์ดรรชนีได้ยาก
จำเป็นต้องใช้กลุ่มของซากดึกดำบรรพ์ในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณนั้นๆ
ซึ่งจะมีความแม่นยำกว่าการใช้ซากดึกดำบรรพ์เพียงชนิดเดียว
ซากดึกดำบรรพ์ได้ถูกนำมาใช้ในการบอกถึงสภาพแวดล้อมของการสะสมตัวของตะกอนอีกด้วย
3.3 โครงสร้างและการลำดับชั้นหิน
โลกของเรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการ
และปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรณีวิทยา
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้หินที่ปรากฏอยู่บนเปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและที่ตั้ง
จากหลักการที่ว่า “ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต” นั่นคือสามารถกล่าวได้ว่า “ปัจจุบัน คือ
กุญแจไขไปสู่อดีต”
ชั้นหิน
มีความสำคัญมากในการแปลความหายของการศึกษาอายุของหิน
ตลอดจนการศึกษาประวัติความเป็นมาของภูมิประเทศแต่ละบริเวณ
ชั้นของหินในระยะเกิดใหม่ๆ
จะมีการวางตัวตามแนวระนาบ ซึ่งแสดงว่ามันยังไม่ถูกรบกวน
แต่มีหลายบริเวณที่มันถูกรบกวนทำให้ชั้นหินเอียงตัว หรือโค้งงอไป
ในสภาพปกติชั้นหินตะกอนที่อยู่ด้านล่างจะสะสมตัวก่อนอายุมากกว่าชั้นหินตะกอนที่อยู่ชั้นบนขึ้นมา
หินดินดานเป็นหินที่มีอายุมากที่สุด หินปูนเกิดสะสมก่อนหินกรวดมน
และหินทรายมีอายุน้อยที่สุด
ชนิดของหิน
หินอัคนี
จากหินหนืดที่แข็งตัวในเปลือกโลกเรียกว่า หินอัคนีแทรกซอนเช่นหินแกรนิต
และจากลาวาที่ปะทุออกมาภายนอกผิวโลกเช่นภูเขาไฟ เรียกว่า หินอัคนีพุ เช่น
หินพัมมิช หินสคอเรีย
หินชั้นหรือหินตะกอน
เกิดจากการสะสมหรือทับทมของเศษหิน ดิน ทราย
นานเข้าถูกกดทับอัดมีตัวเชื่อมประสานปฏิกิริยาเคมีจนกลายเป็นหินในที่สุด เช่น
หินกรวดมน หินทราย หินดินดาน หินปูน
หินแปร
เป็นหินที่เกิดจากการแปรสภาพอันเนื่องมาจากความร้อนและความกดดันของโลก เช่น
หินไนซ์แปรสภาพมาจากหินแกรนิต หินควอร์ตไซต์แปรสภาพมาจากหินทราย
หินชนวนแปรสภาพมาจากหินดินดาน หินอ่อนแปรสภาพมาจากหินปูน
วัฎจักรของหิน
วัฏจักรของหิน (Rock cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของหินทั้ง 3 ชนิด จากหินชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งหรืออาจเปลี่ยนกลับไปเป็นหินชนิดเดิมอีก ก็ได้ กล่าวคือ เมื่อ หินหนืดเย็นตัวลงจะตกผลึกได้เป็นหินอัคนี เมื่อหินอัคนีผ่านกระบวนการผุพังอยู่กับที่และการกร่อนจนกลายเป็นตะกอนมี กระแสน้ำ ลม ธารน้ำแข็ง หรือคลื่นในทะเล พัดพาไปสะสมตัวและเกิดการแข็งตัวกลายเป็นหิน อันเนื่องมาจากแรงบีบอัดหรือมีสารละลายเข้าไปประสานตะกอนเกิดเป็น หินชั้นขึ้น เมื่อหินชั้นได้รับความร้อนและแรงกดอัดสูงจะเกิดการแปรสภาพกลายเป็นหินแปร และหินแปรเมื่อได้รับความร้อนสูงมากจนหลอมละลาย ก็จะกลายสภาพเป็นหินหนืด ซึ่งเมื่อเย็นตัวลงก็จะตกผลึกเป็นหินอัคนีอีกครั้งหนึ่งวนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป
วัฏจักรของหิน (Rock cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของหินทั้ง 3 ชนิด จากหินชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งหรืออาจเปลี่ยนกลับไปเป็นหินชนิดเดิมอีก ก็ได้ กล่าวคือ เมื่อ หินหนืดเย็นตัวลงจะตกผลึกได้เป็นหินอัคนี เมื่อหินอัคนีผ่านกระบวนการผุพังอยู่กับที่และการกร่อนจนกลายเป็นตะกอนมี กระแสน้ำ ลม ธารน้ำแข็ง หรือคลื่นในทะเล พัดพาไปสะสมตัวและเกิดการแข็งตัวกลายเป็นหิน อันเนื่องมาจากแรงบีบอัดหรือมีสารละลายเข้าไปประสานตะกอนเกิดเป็น หินชั้นขึ้น เมื่อหินชั้นได้รับความร้อนและแรงกดอัดสูงจะเกิดการแปรสภาพกลายเป็นหินแปร และหินแปรเมื่อได้รับความร้อนสูงมากจนหลอมละลาย ก็จะกลายสภาพเป็นหินหนืด ซึ่งเมื่อเย็นตัวลงก็จะตกผลึกเป็นหินอัคนีอีกครั้งหนึ่งวนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น